ลักษณะทั่วไป
โรคเกาต์ เป็นโรคปวดข้อเรื้อรังชนิดหนึ่งที่พบได้ไม่น้อย พบในผู้ชายมากกว่า
ผู้หญิงประมาณ 9-10 เท่า ส่วนมากจะพบในผู้ชายอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป
ส่วนผู้หญิงพบได้น้อย ถ้าพบมักจะเป็นหลังวัยหมดประจำเดือน เป็นโรคที่มีทาง
รักษาให้หายได้ แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย
ได้
สาเหตุ
เกิดจากร่างกายมีกรดยูริก (uric acid) มากเกินไป กรดยูริก เป็นสารชนิดหนึ่ง
ที่เป็นผลมาจากการเผาผลาญสารเพียวรีน (purine ซึ่งมีมากในเครื่องในสัตว์
เนื้อสัตว์ ถั่วต่าง ๆ พืชผัก หน่ออ่อนหรือยอดอ่อน) และการสลายตัวของเซลล์ใน
ร่างกาย จึงเป็นสิ่งที่พบได้เป็นปกติในเลือดของคนเรา และจะถูกขับออกไป
ทางไต แต่ถ้าหากว่าร่างกายมีการสร้างกรดยูริก มากเกินไป หรือไตขับกรด
ยูริกได้น้อยลง ก็จะทำให้มีกรดยูริกคั่งอยู่ในร่างกายมากผิดปกติ ซึ่งจะตกผลึก
สะสมอยู่ตามข้อ ผิวหนัง ไตและอวัยวะอื่น ๆ ทำให้เกิดอาการไม่สบายต่าง ๆ
ผู้ป่วยส่วนมากมีสาเหตุจากร่างกายสร้างกรดยูริกมากเกินไป เนื่องจากความ
ผิดปกติทางกรรมพันธุ์ จึงมักพบมีพ่อแม่ญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ด้วยส่วนน้อย
อาจมีสาเหตุจากร่างกายมีการสลายตัวของเซลล์มากเกินไป เช่น โรคทาลัสซี
เมีย, มะเร็งในเม็ดเลือดขาว , การใช้ยารักษามะเร็งหรือฉายรังสี เป็นต้น หรือ
อาจเกิดจากไตขับกรดยูริกได้น้อยลงเช่น ภาวะไตวาย ตะกั่วเป็นพิษ , ผลจาก
การใช้ยาไทอาไซด์ เป็นต้น
อาการ
มีอาการปวดข้อรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันทันที ถ้าเป็นการปวดครั้งแรกมักจะ
เป็นเพียงข้อเดียว ข้อที่พบมาก ได้แก่ นิ้วหัวแม่เท้า (ส่วนข้อเท้า ข้อเข่า ก็อาจ
พบในผู้ป่วยบางราย) ข้อจะบวมและเจ็บมากจนเดินไม่ไหว ผิวหนังในบริเวณ
นั้นจะตึง ร้อนและแดง และจะพบลักษณะจำเพาะ คือ ขณะที่อาการเริ่มทุเลา
ผิวหนังในบริเวณที่ปวดนั้นจะลอกและคันผู้ป่วยมักเริ่มมีอาการปวดตอนกลาง
คืน และมักจะเป็นหลังดื่มเหล้าหรือเบียร์ (ทำให้ไตขับกรดยูริกได้น้อยลง)
หรือหลังกินเลี้ยง หรือกินอาหารมากผิดปกติ หรือเดินสะดุด บางครั้งอาจมี
อาการขณะมีภาวะเครียดทางจิตใจ เป็นโรคติดเชื้อ หรือได้รับการผ่าตัดด้วย
สาเหตุอื่น บางครั้งอาจมีไข้ หนาวสั่น ใจสั่น (ชีพจรเต้นเร็ว) อ่อนเพลีย เบื่อ
อาหาร ในการปวดข้อครั้งแรก มักจะเป็นอยู่เพียงไม่กี่วัน (แม้จะไม่ได้รับการ
รักษาก็จะค่อย ๆ หายไปได้เอง) ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา ในระยะแรก ๆ
อาจกำเริบทุก 1-2 ปี โดยเป็นที่ข้อเดิม แต่ต่อมาจะเป็นถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ทุก
4-6 เดือน แล้วเป็นทุก 2-3 เดือน จนกระทั่งทุกเดือน หรือเดือนละหลายครั้ง
และระยะการปวดจะนานวันขึ้นเรื่อย ๆ เช่น กลายเป็น 7-14 วัน จนกระทั่ง
หลายสัปดาห์หรือปวดตลอดเวลา ส่วนข้อที่ปวดก็จะเพิ่มจากข้อเดียวเป็น 2-3
ข้อ (เช่น ข้อมือ ข้อศอก ข้อเข่า ข้อเท้า นิ้วมือนิ้วเท้า) จนกระทั่งเป็นเกือบทุก
ข้อ ในระยะหลัง เมื่อข้ออักเสบหลายข้อ ผู้ป่วยมักสังเกตว่ามีปุ่มก้อนขึ้นที่
บริเวณที่เคยอักเสบบ่อย ๆ เช่นข้อนิ้วเท้า ข้อนิ้วมือ ข้อศอก ข้อเข่า รวมทั้งที่หู
เรียกว่า ตุ่มโทฟัส (tophus/tophi) ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของสารยูริก ปุ่มก้อนนี้
จะโตขึ้นเรื่อย ๆ จนบางครั้งแตกออกมีสารขาว ๆ คล้ายช็อล์ก หรือยาสีฟันไหล
ออกมา กลายเป็นแผลเรื้อรัง หายช้า ในที่สุดข้อต่าง ๆ จะค่อย ๆ พิการและใช้
งานไม่ได้
สิ่งตรวจพบ
ข้อที่ปวดมีลักษณะบวมแดงร้อน อาจมีไข้ร่วมด้วย บางคนอาจมีตตุ่มโทฟัส
อาการแทรกซ้อน
ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจกลายเป็นโรคความดันโลหิตสูง , โรคหัวใจขาดเลือด,
นิ่วในทางเดินปัสสาวะ (พบได้ประมาณ 25%), ภาวะไตวาย
การรักษา
1. ถ้ามีอาการชัดเจน ให้ ยาเม็ดคอลชิซีน (Colchicine) ขนาด 0.5 มิลลิกรัม
ครั้งแรกให้ 1-2 เม็ดแล้วให้ ซ้ำอีกครั้งละ 1 เม็ดทุก 1 ชั่วโมงเป็นเวลา 8
ชั่วโมง แล้วให้เป็น 1 เม็ดทุก 2 ชั่วโมง จนกว่าจะหายปวด แต่ถ้ามีอาการ
คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเดิน ซึ่งเกิดจากพิษของยาก็ให้หยุดยาเสีย โดยทั่วไป
จะให้ได้ประมาณ 8-20 เม็ด และอาการปวดข้อจะหายใน 24-72 ชั่วโมง ถ้า
มีอาการท้องเดินให้กินยาแก้ท้องเดิน ถ้าไม่มีคอลชิซีน อาจให้ยาต้านอักเสบ
ที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ เช่น อินโดเมทาซิน หรือ ไอบูโพรเฟน ครั้งแรกให้ 2 เม็ด
แล้วให้ 1 เม็ดทุก 6 ชั่วโมง จนกว่าจะหาย แต่ไม่ควรให้นานกว่า 3 วัน และ
ควรกินยาลดกรด ควบด้วยควรให้ผู้ป่วยนอนพัก ดื่มน้ำมาก ๆ ใช้น้ำร้อน
ประคบข้อที่ปวด และลดอาหารที่มีกรดยูริกสูง เมื่ออาการทุเลาแล้ว ควรแนะ
นำไปตรวจที่โรงพยาบาล ซึ่งมักจะให้การดูแลรักษาต่อไป ดังในข้อ 2
2.ในรายที่อาการไม่ดีขึ้นหรืออาการไม่ชัดเจนควรส่งโรงพยาบาล อาจต้องเจาะ
เลือดหาระดับของกรดยูริกในเลือด (ค่าปกติเท่ากับ 3-7 มิลลิกรัมต่อเลือด 100
มล.) และตรวจพิเศษอื่น ๆ ถ้าจำเป็นควรให้ยารักษาแบบเดียวกับข้อ 1 ถ้าไม่
ได้ผลอาจให้สเตอรอยด์ ระหว่างที่ไม่มีอาการปวดข้อ ควรให้ คอลชิซีนวันละ
1-2 เม็ด กินเป็นประจำเพื่อป้องกันมิให้ข้ออักเสบกำเริบรุนแรง และให้ยาลด
กรดยูริกในร่างกาย ซึ่งมีให้เลือกใช้อยู่ 2 ชนิด ได้แก่
ก. ยาขับกรดยูริก เช่นยาเม็ดโพรเบเนซิด (Probenecid) 1-2 เม็ดต่อวัน ผู้ป่วย
ที่กินยานี้ ควรดื่มน้ำมากๆ(ประมาณวันละ 3 ลิตร) เพื่อป้องกันมิให้เกิดนิ่วในไต
เนื่องจากการตกตะกอนของกรดยูริก ยานี้ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีนิ่วในไต หรือมี
ภาวะไตวายนอกจากนี้ผู้ที่กินยานี้ ไม่ควรกินแอสไพริน เพราะจะทำให้ฤทธิ์ใน
การขับกรดยูริกลดน้อยลง
ข. ยาลดการสร้างกรดยูริก เช่น ยาเม็ดอัลโลพูรินอล (Allopurinol) ขนาดเม็ด
ละ100 มิลลิกรัม วันละ 2-3 เม็ด ยานี้อาจทำให้เกิดการแพ้ยารุนแรงได้ (ถ้ากิน
แล้วมีอาการคันตามตัว ควรหยุดยาทันที) และอาจทำให้ตับอักเสบได้ การให้
ยาลดกรดยูริก จะเลือกใช้ชนิดใดชนิดหนึ่งขึ้นอยู่กับสภาพของผู้ป่วย ซึ่งจะให้ผู้
ป่วยกินเป็นประจำทุกวันตลอดชีวิต จะช่วยให้สารยูริกที่สะสมตามข้อ และ
อวัยวะต่าง ๆ ละลายหายไปได้ รวมทั้งตุ่มโทฟัสจะยุบหายไปในที่สุด ผู้ป่วยที่ใช้
ยานี้ก็ไม่จำเป็นต้องงดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และเครื่องในสัตว์อย่างเคร่งครัด
สามารถกินอาหารได้ทุกชนิด ในปริมาณที่พอเหมาะกับขนาดของยาที่ใช้ควร
นัดผู้ป่วยไปตรวจเลือด ตรวจหาระดับกรดยูริกในเลือดเป็นระยะๆ
ข้อแนะนำ
1. โรคนี้มักเป็นเรื้อรัง ถ้าหากไม่ได้รับการรักษา มักมีโรคแทรกซ้อนที่ร้ายแรง
ควรแนะนำให้ผู้ป่วยรับการรักษาอย่าได้ขาด ควรกินยาตามแพทย์สั่งไปตลอด
ชีวิตและหมั่นตรวจเลือดเป็นระยะ ๆ
2. ในรายที่มีเพียงกรดยูริกในเลือดสูง โดยไม่มีอาการปวดข้อ หรืออาการอื่น ๆ
ก็ไม่ต้องให้ยารักษา ยกเว้นถ้ามีระดับของกรดยูริกสูงเกิน 12 มิลลิกรัมต่อเลือด
100 มล. ก็ควรกินยาลดกรดยูริกเป็นประจำ
3. ข้อปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์
3.1 ควรดื่มน้ำมาก ๆ ทุกวัน (อย่างน้อยวันละ 3 ลิตร) เพื่อป้องกันมิให้เกิดนิ่วใน
ไต
3.2 ถ้าอ้วน ควรลดน้ำหนักลงทีละน้อย อย่าลดฮวบฮาบ อาจทำให้มีการสลายตัว
ของเซลล์รวดเร็วและมีการสร้างกรดยูริก ทำให้ข้ออักเสบกำเริบได้
3.3 ขณะที่มีอาการปวดข้อ ควรงดเหล้า เบียร์ และอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น
เครื่องในสัตว์ทุกชนิด กะปิ น้ำสกัดจากเนื้อ เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อกระต่าย กุ้ง หอย
กุนเชียง ไส้กรอก เนื้อเป็ด เนื้อห่าน เนื้อไก่ เนื้อไก่งวง ปลาซาร์ดีน ไข่แมงดา
ชะเอม กระถิน แตงกวา หน่อไม้ แอสปารากัส เห็ด ดอกกะหล่ำ ถั่วต่างๆ ถั่วงอก
ยอดแค ดอกสะเดา สาหร่าย ยอดผักต่าง ๆ เป็นต้น (แต่ถ้าไม่มีอาการปวดข้อ
และกินยาลดกรดยูริกอยู่เป็นประจำ ก็ไม่ต้องงดอาหารเหล่านี้อย่างเคร่งครัด)
3.4 ยาบางชนิดอาจมีผลต่อการรักษาโรคนี้ เช่น แอสไพริน หรือยาขับปัสสาวะ
ไทอาไซด์ อาจทำให้ร่างกายขับกรดยูริกได้น้อยลง ดังนั้นจึงไม่ควรซื้อยากินเอง
ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนจะใช้ยา
4. ผู้ที่มีญาติพี่น้องเป็นโรคเกาต์ ควรตรวจเช็กเลือดเป็นระยะ
รายละเอียด
ผู้ป่วยโรคเกาต์ ถ้ากินยาทุกวัน สามารถกินอาหารได้เช่นคนปกติ
อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์ | | | |
โรคเก๊าท์เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ เกิดจากความผิดปกติในการใช้สารพวก
พิวรีน ทำให้เกิดสารยูริคสูงในเลือด และจะสะสมในข้อโดยเฉพาะข้อเล็กๆ
เช่น ข้อนิ้วเท้า ข้อนิ้วมือ ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อน ในข้อ
การใช้ยารักษาโรคเกาท์จะช่วยทำให้อาการของโรคดีขึ้นและช่วยขับกรด
ยูริค ออกจากร่างกาย แต่การทานอาหารที่ถูกต้องจะช่วยบรรเทาให้อาการ
ลดลง และไม่กำเริบบ่อย หลักในการจัดอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์ มี
ดังนี้
ทานอาหารที่มีพิวรีนน้อยหรือไม่มีพิวรีน ได้แก่ นม ไข่ ฯลฯ งดเว้นอาหารที่มีพิวรีนมาก เช่น เครื่องในสัตว์ ปลาซาร์ดีน ฯลฯ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนปานกลาง เช่น สัตว์ปีก อาหารทะเล อาหารที่ปรุงไม่ควรใส่ผงชูรส หลีกเลี่ยง อาหารทอด น้ำต้มเนื้อ เช่นก๊วยเตี๋ยวน้ำ |
อาหารพิวรีนมาก (50 – 150 มก./อาหาร 100 กรัม) | อาหารพิวรีนปานกลาง (มากกว่า 15 มก./อาหาร 100 กรัม) | อาหารพิวรีนน้อย (0 – 15 มก./อาหาร 100 กรัม) |
ตับอ่อน ตับ ไต มันสมอง ปลาแอนโชวี่ ปลาซาร์ดีน น้ำต้มเนื้อ | น้ำเกรวี่หรือซุบไก่ เนื้อสัตว์ ปลา อาหารทะเล หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม ดอกกระหล่ำ | ข้าวไม่ขัดขาว น้ำตาลและขนมหวาน |
ในคนที่อ้วนควรลดน้ำหนักโดยทานอาหารให้มีพลังงานต่ำประมาณวันละ 1,200 – 1,500 แคลอรี
ควรจำกัดอาหารที่มีไขมันสูงเพราะอาจกระตุ้นให้อาการกำเริบได้ ควรงดเครื่องดื่มพวกโกโก ช็อคโกแลต
ควรทานนมพร่องมันเนย
งดการดื่มสุราส่วนกาแฟอาจทานได้บ้างพอประมาณ
ควรทานผักใบเขียวที่มีธาตุเหล็กสูง เพื่อทดแทนธาตุเหล็กที่ขาดเนื่องจากการงดทานเนื้อสัตว์
โดย พญ.รุ่งทิพย์ วรรณวิมลสุข แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
American College of Rheumatology,
NZ Arthritis Foundation
WHAT IS GOUT?
Known as "the disease of kings and the king of diseases," gout has been studied by physicians and has caused suffering in countless humans at least since the days of Hippocrates. Formerly a leading cause of painful and disabling chronic arthritis, gout has been all but conquered by advances in research. Unfortunately, many people with gout continue to suffer because knowledge of effective treatments has been slow to spread to patients and their physicians.
CAUSE
Gout is caused by an excess of uric acid in the body. This excess can be caused by an increase in production by the body, by under-elimination of uric acid by the kidneys or by increased intake of foods containing purines which are metabolized to uric acid in the body. Certain meats, seafood, dried peas and beans are particularly high in purines. Alcoholic beverages may also significantly increase uric acid levels and precipitate gout attacks.
With time, elevated levels of uric acid in the blood may lead to deposits around joints. Eventually, the uric acid may form needle-like crystals in joints, leading to acute gout attacks. Uric acid may also collect under the skin as tophi or in the urinary tract as kidney stones.
DIAGNOSIS
Since several other kinds of arthritis can mimic a gout attack, and since treatment is specific to gout, proper diagnosis is essential. The definitive diagnosis of gout is dependent on finding uric acid crystals in the joint fluid during an acute attack. However, uric acid levels in the blood alone are often misleading and may be transiently normal or even low. Additionally, uric acid levels are often elevated in individuals without gout.
TREATMENT
Since the 1800s, colchicine has been the standard treatment for acute gout. While colchicine is very effective, it often causes nausea, vomiting and diarrhea. These side effects are uncommon when this drug is given intravenously. Because of the unpleasant side effects of colchicine, non-steroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs) have become the treatment of choice for most acute attacks of gout. The NSAID that is most widely used to treat acute gout is indomethacin. NSAIDs may also have significant toxicity, but if used for the short-term, are generally well tolerated. Aspirin and aspirin-containing products should be avoided during acute attacks.
Therapy directed at normalizing uric acid levels in the blood should be considered for patients who have had multiple gout attacks or have developed tophi or kidney stones. Several drugs that help the kidneys eliminate uric acid are available, such as probenecid, and a drug that blocks production of uric acid by the body, such as alopurinol. The choice between these two types of drugs depends on the amount of uric acid in the urine. With correct treatment, gout should be well controlled in almost all cases.
Treatment of Gout
The first step wherever possible must be to correct those factors mentioned above which give rise to high uric acid levels. Purines are substances found in food, which, when broken down produce a lot of uric acid. Therefore the following foods which are high in Purines should be restricted or avoided:
- Offal foods such as liver, kidneys, tripe, sweetbreads and tongue.
- Excessive amounts of red meat.
- Shellfish, fish roe and scallops.
- Peas. lentils and beans.
- Alcohol intake should be reduced. Two glasses of beer a day or less is sensible. On special occasions vou can drink more.
- Weight loss may be very important.
- Medication for high blood pressure may need to be altered.
Treating the Acute Attack
One or other of the anti-inflammatory drugs (NSAIDSs) can be very effective but to gain the best results the dose should be adequate and the drug taken as soon as possible at the first sign of an attack. Hence medical advice must be sought early. With effective treatment the attack may be controlled within 12-24 hours and treatment need not be continued after a few days. Rest and elevation of the part involved and a fluid intake increased by an extra 4 or 5 glasses of water a day. are also important. Drugs used for the acute attack have no effect on reducing uric acid levels.
How to Lower Uric Acid (Hyperuricaemia)
If in spite of all the measures above the uric acid remains high and attacks continue or become more frequent, other drugs can be used which directly lower the blood uric acid. However, it must be understood that these drugs have no effect on the actual attacks of acute gout and they must be taken on a continuous and long term basis. The dose must be adjusted by repeated checks on the blood uric acid before a permanent maintenance dost can be decided on. Once the uric acid is down within normal limits, the patient should remain free from gout provided the drug is continued. Some drugs work by increasing elimination via the kidneys and others by blocking uric acid formation.
It is also very important for patients beginning such drugs to realise that for the first few months of treatment, gouty attacks can become more severe and frequent. This is usually controlled by taking one or two tablets a day of an additional drug for at least several months and if any acute attacks do appear they must be treated in the usual way and the long term medicines continued.
THE RHEUMATOLOGIST’S ROLE IN THE TREATMENT OF GOUT
Historically, gout has been a major cause of destructive and disabling arthritis. Today, it represents a victory for medical investigation. Through the research of rheumatologists, gout is one of the success stories for modern medicine. As experts in treating gout, rheumatologists serve as educators of patients with gout and their physicians.
You Can Help Yourself Get Rid of the Pain
Here are a few tips to help you:
- Your doctor will give you pills to take.
- Take them every day.
- If you think the pills make you feel worse talk to the doctor about changing the tablets but DONT STOP TAKING THEM.
- Try to keep your weight down.
- Ask your doctor or health worker to give you good advice about diets that will help you do this.
- Some foods will make your Gout much more painful. Try to cut down or avoid:
- Red meats which come from cows or sheep and include steak, chops, corned beef and larger pieces of meat usually roasted in the oven.
- Brains, kidneys, liver & heart (offal).
- Shelifish such as pauas, pipis, mussels, oysters and sea eggs.
- Peas and beans.
- Alcohol. especially beer and wine.
The pain caused by Gout will go away. If you are careful you can avoid having more bad attacks of Gout